สัมพัทธภาพทั่วไป หรือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป (อังกฤษ: General relativity หรือ General Theory of Relativity) คือทฤษฎีเชิงเรขาคณิตของความโน้มถ่วงและเอกภพวิทยา เสนอโดยอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ใน พ.ศ. 2458
ใจความสำคัญในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปคือการตกเสรี (freefall) นั้นที่จริงแล้วคือกิริยาการเฉื่อยแบบหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าความโน้มถ่วงนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับแรงที่กระทำ เช่นโดยแทนที่การที่คนยืนอยู่บนพื้นโลกนั้นคือการ ที่พื้นโลกรองรับ "แรงโน้มถ่วง" เอาไว้ซึ่งก่อให้เกิดการเร่งทางฟิสิกส์อย่างต่อเนื่องซึ่งแทนที่จะรอบรับแรงโน้มถ่วงธรรมดา ๆ มันจะก่อให้เกิดค่าความต้านเชิงกลศาสตร์บนพื้นที่ที่คนกำลังยืนอยู่[1]
1.1 Metric Tensor 1.1.1 Einstein Notation 1.1.2 Kronecker Delta 1.1.3 Metric Tensor of Polar Coordinate 1.1.4 Inverse Metric 1.2 Covariant Derivative 1.3 Christoffel Symbols 2 Flat Space and Curved Space 2.1 Flat Space 2.2 Curved Space 2.3 Singularity 2.4 Parallel Transport 2.5 Geodesics 2.6 Curvature 2.6.1 Sign of Curvature 3 Einstein Field Equation 3.1 Riemann Curvature Tensor 3.1.1 General Definition of Curvature 3.2 Ricci Tensor and Ricci Scalar 3.2.1 Ricci Tensor 3.2.2 Ricci Scalar 3.3 Energy-Momentum Tensor 3.3.1 4-Current 3.3.2 4-Momentum 3.3.3 Tμν 3.4 Slow & Weak-Field Approximation 3.5 Einstein Field Equation 3.6 Schwarzschild Solution 3.7 Black Hole 3.7.1 Non-rotating Uncharged Black Hole 3.7.2 Rotating Uncharged Black Hole 3.7.3 Non-rotating Charged Black Hole 3.7.4 Rotating Charged Black Hole 3.8 Cosmological Constant |
Tensor Analysis
Metric Tensor
ดูที่ Metric Tensor
พิจารณาจุดสองจุดใดๆบนพิกัดคาร์ทีเชี่ยน เราสามารถหาระยะระหว่างจุดได้จากสมการ
หรือถ้าหากเรานิยาม coordinate ทั้งสามใหม่ว่า Δx=Δx1, Δy=Δx2 และ Δz=Δx3 (Δxi ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง Δx ยกกำลัง i แต่อย่างใด เป็นเพียงสัญลักษณ์แสดงเท่านั้น) เราจะเขียนสมการข้างต้นใหม่ได้ว่า
Einstein Notation
ดูที่ Einstein notation
ในสัมพัทธภาพทั่วไป เรานิยมลดรูปสมการที่ติดเครื่องหมาย summation Σ โดยมีหลักการง่ายๆ 3 ข้อ
- ให้ตัดสัญลักษณ์ sigma ออกจากสมการ เช่น bn= Σamnem กลายเป็น bn= amnem
- index ที่ซ้ำกันในแต่ละเอกนาม เรียกว่า summation index หมายถึง index ที่เคยอยู่ใต้เครื่องหมาย sigma กล่าวคือ
- summation index ต้องอยู่ในตำแหน่งตรงข้ามกันเท่านั้น(ตัวหนึ่งอยู่บน เรียกว่า upper index ตัวหนึ่งอยู่ล่าง เรียกว่า lower index)
กล่าวคือ amnem ถูกต้อง, amnemen ถูกต้อง, ambm ผิด, amnembm ไม่นิยมใช้
Kronecker Delta
สำหรับสมการหาระยะทางระหว่างสองจุด เราสามารถเขียนใหม่ตามหลักของ Einstein Notation ได้ว่า
จากสมการ สัญลักษณ์ δmn มีนิยามโดย
ดังนั้น หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว จะพบว่าสมการดังกล่าวคืออย่างเดียวกันกับสมการในรูปของเครื่องหมาย sigma นี่เอง
เราเรียก δmn (อ่านว่า kronecker delta หรือเรียกสั้นๆว่า delta)ว่าเป็น metric tensor ของ Cartesian coordinate
นอกจากนี้ เรายังสามารถเขียน δmn ได้ในรูบของ matrix (ระวัง: metric tensor ไม่ใช่ matrix แต่สามารถเขียนได้ในรูปของ matrix ในบางครั้ง)
เมื่อ mn หมายถึงสมาชิกแถวที่ m คอลัมน์ที่ n ของ matrix ดังกล่าว (สาเหตุที่ matrix มีขนาดเป็น 3x3 เพราะระบบที่เรากำลังศึกษาเป็นระบบ 3 มิติ)
Metric Tensor of Polar Coordinate
ตัวอย่างที่ดีของการหา metric tensor คือระบบพิกัดเชิงขั้ว เนื่องจากระยะห่างระหว่างจุดใดๆ บนระบบพิกัดเชิงขั้ว สามารถเขียนได้ในรูป
เมื่อมุม θ และรัสมี r เป็น coordinate พื้นฐานของระบบพิกัดเชิงขั้ว ดังนั้น หากเราตั้งค่าให้ dr=dx1 และ dθ=dx2 จะได้ metric tensor คือ
exercise: จงแสดงว่า metric ของระบบพิกัดเชิงขั้วมีลักษณะดังกล่าว
Inverse Metric
คือ tensor อีกชนิดหนึ่ง(upper index สองตัว) ซึ่งทำหน้าที่สลับตำแหน่งของ index มีสมบัติพื้นฐานดังนี้
และสมบัติอื่นๆซึ่งต้องศึกษากันต่อไป
Covariant Derivative
ให้ x แทนตำแหน่งใดๆบน space d มิติ (x ไม่ใช่ชื่อแกน)
จะกำหนดสนามเวกเตอร์ V(x) บน space นี้ได้ว่า
พิจารณาการเปลี่ยนแปลงของ Vm(x) ไปตามแนวแกน xk ใดๆ สามารถหาได้จากสมการ
เมื่อ Tkm คือปริมาณบางอย่างซึ่งถูก label ด้วย index ทั้งสองตัว(ปริมาณ index ที่ไม่ใช่ summation index ของทั้งสองฟากสมการต้องมีเท่าเดิมเสมอ ในที่นี้คือ m และ k) ปัญหาของเราก็คือ หากเราเปลี่ยน coordinate x ไปเป็น y เช่น จากคาร์ทีเชี่ยนไปเป็นเชิงขั้ว (ไม่ใช่เปลี่ยนจากแกน x ไปเป็น แกน y) สมการจะยังเหมือนเดิมหรือเปล่า
เราสามารถลองคำนวณดูได้ดังนี้ เริ่มจากการแปลง coordinate จาก x ไปสู่ y ทำได้จาก
หรือ
เรียก Vm ว่า contravariance vector และเรียก Vm ว่า covariance vector (ดู wikipedia:Covariance_and_contravariance_of_vectors) แต่ในกรณีนี้เราจะศึกษาเฉพาะ contravariance vector เป็นหลัก
นอกจากนี้เรายังสามารถเปลี่ยน coordinate ของ tensor Tkm ได้ด้วย จากสมการ
แต่ทว่า หากเราหันมาแปลง coordinate ของ V แทน เราจะพบว่า
ซึ่ง
ดังนั้น อนุพันธ์ทั่วไปของ Vector (และ Tensor) จึงไม่ใช่ตัวดำเนินการพื้นฐาน เพราะทำให้ได้ค่าไม่เท่าเดิมเมื่อเปลี่ยน coordinate เราจึงจำเป็นต้องนิยาม อนุพันธ์ ชนิดใหม่ ซึ่งให้ผลเดิมเสมอเมื่อเปลี่ยน coordinate เราเรียกอนุพันธ์ชนิดใหม่นี้ว่า covariant derivative
Christoffel Symbols
สำหรับ covariant derivative ของ Vm เราสามารถเขียนได้ว่า
สัญลักษณ์ ∂k ในที่นี้หมายถึงการย่อรูปของการ derivative แบบทั่วไปลง Gamma(Γ) ที่เห็นเป็นเพียงสัญลักษณ์ตัวหนึ่งซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อดุลย์ให้สมการเป็นจริงในทุกๆ coordinate เรียกสัญลักษณ์นี้ว่า Christoffel Symbol
เราสามารถแสดงให้เห็นผ่านการคำนวณที่ซับซ้อนได้ว่า
(ดู การหาค่า Christoffel Symbol)
สำหรับ metric และ inverse metric g ใดๆ (หมายเหตุ ในกรณีส่วนใหญ่ เรามักจะไม่มองว่าสองตัวนี้แตกต่างกัน การใช้จึงแล้วแต่บริบท ซึ่งจะได้เห็นกันต่อไป)
สำหรับรูปทั่วไปของ covariant derivative นิยามโดย
Flat Space and Curved Space
ในการศึกษา Tensor Geometry เราจำแนกพื้นผิวออกเป็นสองจำพวก คือ พื้นเรียบ(flat surface) กับ พื้นโค้ง(curved surface)
Flat Space
สำหรับพื้นผิวเรียบ coordinate ที่พื้นฐานที่สุดซึ่งไม่มีในพื้นผิวโค้งคือระบบพิกัดคาร์ทีเชี่ยน มีสมบัติ(ซึ่งเห็นได้ชัด)คือ coordinate จะดูเหมือนเดิมในทุกๆตำแหน่ง(เป็นตารางไกลไปสุดลุกหูลุกตา) หรือพูดอีกนัยหนึ่งได้ว่า :: ใน flat space จะต้องมีอย่างน้อยหนึ่ง coordinate ซึ่ง metric มีสมบัติคือ
Curved Space
ในพื้นผิวโค้งเราก็มีนิยามเช่นกัน กล่าวได้ว่า :: บนพื้นผิวโค้ง จะต้องมีจุดอย่างน้อยหนึ่งจุด(เช่นจุดเปลี่ยนเว้า) และ coordinate อย่างน้อยหนึ่ง coordinate ซึ่งมีสมบัติคือ
ยกตัวอย่างเช่น ยอดโดม, ทุกบริเวณของผิวทรงกลม, ทุกบริเวณของผิวทรงกรวยที่ไม่ใช่ยอดกรวย เป็นต้น
exercise: จงอธิบายตัวอย่างข้างต้นว่าทำไมถึงมีสมบัติดังกล่าว
Singularity
ในเชิงเรขาคณิต singularity คือจุดซึ่งมีสมบัติคือ ไม่มี coordinate ใดสามารถทำให้
Parallel Transport
ดูที่ Parallel Transport
หมายถึงการเคลื่อนย้าย vector ใดๆไปตามเส้นทางที่กำหนด โดยมีเงื่อนไขคือการทำให้ vector นั้นขนานกับ vector เดิมตลอดเส้นทาง
| |
การแปลงแบบนี้ เราสามารถพูดอีกนัยหนึ่งได้ว่า Vector จะดูไม่เปลี่ยนแปลงหากเราเดินไปตามเส้น นั่นคือ covariant derivative ของ vector จะเท่ากับศูนย์
สำหรับเส้นทาง s ใดๆ ซึ่งทำให้ได้นิยามของ parallel transport คือ
Geodesics
ดูที่ Geodesic (general relativity)
พิจารณา tangent vector ของเส้นทาง s
จะได้การเปลี่ยนแปลงไปตาม s ของ tangent vector เองก็คือ
พิจารณากรณีพิเศษซึ่ง tangent vector จะดูเหมือนเดิมตลอดเมื่อเคลื่อนไปตามแนว s นั่นคือ s จะต้องเป็นเส้นตรง(บนพื้นผิวเรียบ)นั่นเอง หรือในกรณีทั่วไป เราจะเรียกเส้นทาง s นี้ว่า Geodesics
หรือสามารถเขียนใหม่ได้ว่า
ยกตัวอย่างเช่น การโคจรของวัตถุรอบๆแหล่งกำเนิดสนามโน้มถ่วง เราจะเขียนสมการข้างต้นใหม่ได้ว่า
เมื่อ τ คือ proper time เปรียบเสมือนเส้นทางการเคลื่อนที่ของวัตถุบน space-time diagram (มิติตำแหน่ง + มิติเวลา)
Curvature
จำเป็นหรือไม่ที่ vector ที่ผ่านการ parallel transport เป็นวงกลมกลับมาที่จุดเดิม จะมีทิศทางเดิมเสมอ? คำตอบคือไม่จำเป็น หากระบบที่เรากำลังศึกษาเป็นระบบที่มีความโค้ง
| |
ในกรณีทั่วไป เราจะศึกษาพื้นผิวโค้งที่ไม่ใช่รูปกรวย กล่าวคือ เมื่อเราเลื่อนขนาน vector รอบจุดหนึ่งๆแล้วมุมที่ได้ต่างจากเดิม เราจะเรียกพื้นผิวนั้นๆว่าเป็นพื้นผิวโค้ง (curved space)
Sign of Curvature
ในทางเรขาคณิต ความโค้งจำแนกได้เป็นสองชนิด
Einstein Field Equation
ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปเป็นการศึกษาปัญหาสองอย่าง 1) มวลส่งผลอย่างไรต่อความโค้ง และ 2) ความโค้งส่งผลอย่างไรต่อการเคลื่อนที่ของมวล ซึ่งปัญหาที่สองเราได้แก้ไปแล้วจากการหาสมการ Geodesics ใน spacetime โค้ง (การโคจร) แต่ปัญหาแรกต้องแก้โดยใช้สมการสนามของไอน์สไตน์ในการช่วยเหลือ สมการสนามไอน์สไตน์ประกอบด้วย2ส่วนหลัก คือส่วนความโค้งของ spacetime และส่วนพลังงานและมวล
Riemann Curvature Tensor
General Definition of Curvature
ในกรณีทั่วไป เราจะพูดถึงพื้นที่ซึ่งเล็กมากๆ กำหนดโดยแกน xμและ xνใดๆ ดังนั้นสมการควรจะอยู่ในรูป
ผลต่างเวกเตอร์ = dxμdxν•(เวกเตอร์ต้นแบบ)•(ปริมาณบางอย่าง)
นั่นคือ
ในที่นี้ R ก็คือสิ่งที่ช่วยบ่งบอกความโค้งของพื้นผิวที่กำลังศึกษา เรียกว่า Riemann Curvature Tensor ซึ่งเราสามารถแสดงให้เห็นผ่านการคำนวณที่ซับซ้อนได้ว่า
(ดู การหาค่า Riemann Tensor)
Ricci Tensor and Ricci Scalar
จากนิยามของ Riemann Tensor ที่ได้กล่าวมาแล้ว เราสามารถนิยามปริมาณอีกสองชนิดซึ่งมีประโยชน์มากกว่าได้คือ
Ricci Tensor
Ricci Scalar
บางครั้งเรียก Curvature Scalar
น่าสังเกต: Γκλη เป็นฟังก์ชันของ ∂gσρ ซึ่งRμν ก็เป็นฟังก์ชันของ ∂Γαβγ อีกที ดังนั้น Rμν เป็นฟังก์ชันของ ∂∂gφψ
Energy-Momentum Tensor
ดูที่ Four-vector
4-Current
ในทางกลศาสตร์ เราสามารถเขียนความหนาแน่น ρ ของมวล m ได้ว่า
และกระแส j ของมวล m เมื่อไหลไปผ่านพื้นที่ A เขียนได้ว่า
นั่นเอง หากเราเปรียบเทียบปริมาณเหล่านี้กับ 4-Vector ใน space-time เราสามารถนิยาม 4-Current ได้ว่า
หรือเขียนในรูป Tensor ได้ว่า
เมื่อ V คือปริมาตรใน 4 มิติ และ x0=t
4-Momentum
ทำนองเดียวกัน เราสามารถนิยาม 4-Vector ของ Momentum-Energy ได้เช่นกัน
Tμν
ดูที่ Stress–energy tensor
ในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป มวล โมเมนตัม และพลังงานต่างก็ส่งผลต่อ spacetime ทั้งหมด ดังนั้นไอน์สไตน์จึงสนใจใน tensor อีกชนิดก็คือ Stress-energy tensor หรือในอีกชื่อหนึ่งคือ Energy-momentum tensor ซึ่งสนใจปริมาณจำพวก กระแสโมเมนตัม ความหนาแน่นโมเมนตัม กระแสพลังงาน ความหนาแน่นพลังงาน เป็นต้น ดังนั้นเราจะเขียน tensor นี้ได้ว่า
| |
Slow & Weak-Field Approximation
ดูที่ Field Equation
พิจารณาวัตถุเคลื่อนที่ไปตามแกน x และมีความเร็วต่ำมากเมื่อเทียบกับความเร็วแสง(ตั้งให้ c=1)
นั่นเท่ากับเป็นการบอกว่า
ประยุกต์เข้ากับสมการ geodesics จะได้ว่า
ที่ความเข้มสนามต่ำ เราสามารถประมาณ gμν ได้ว่า
ดังนั้นจะสรุปใหม่ได้ว่า
แต่กระนั้น Newtonian Physics กล่าวว่า
สำหรับสนามโน้มถ่วง Φ
ดังนั้น เท่ากับว่า ที่สนามอ่อนๆและความเร็วต่ำ
Einstein Field Equation
ในสมการสนามของ Newton
เราสามารถเขียนให้อยู่ในรูปของสมการแบบ Tensor ได้ว่า
โดยใช้หลักที่ว่าถ้า m=E(ให้ c=1) แล้ว ρ=T00
Gμνคือ Tensor บางอย่างที่สอดคล้องกับสมการสนามของ Newton ในกรณีที่ μ=0 และ ν=0
Einstein ให้ความเห็นว่า Gμν ควรมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับ Ricci Tensor เราเรียก Gμνว่า Einstein Tensor ซึ่งในภายหลังเราพบว่า Tensor นี้มีนิยามคือ
(ดู การหาค่า Einstein Tensor)
ทำให้สมการสนามของไอน์สไตน์มีรูปเต็มคือ
Schwarzschild Solution
ในที่สุด Karl Schwarzschild ก็ได้แก้สมการสนามไอน์สไตน์ออกในกรณีของก้อนมวลนิ่งไม่หมุนที่บิดเบน spacetime ว่ารูปทรงของ spacetime ใน 4 มิติ จะมี metric เป็นไปตามสมการ
(ดู การพิสูจน์ Schwarzschild Metric)
เมื่อ coordinate ทั้งสี่ตัวเป็น coordinate พื้นฐานของระบบพิกัดแบบทรงกลม 2GM ถูกเรียกว่าเป็น รัสมีของชวาร์ซ์ชิลด์ คือรัสมีที่ทำให้เกิดเป็นหลุมดำได้(ลองแทนค่าดู)
| |
Black Hole
ในกรณีทั่วไป คำตอบของสมการสนามไอน์สไตน์จะถูกตีความว่าเป็นสมบัติของหลุมดำแต่ละชนิด ซึ่งมีดังต่อไปนี้
Non-rotating Uncharged Black Hole
ถูกกำหนดโดย Schwarzschild Solution
Rotating Uncharged Black Hole
ถูกกำหนดโดย Kerr Solution
Non-rotating Charged Black Hole
ถูกกำหนดโดย Reissner–Nordström Solution
Rotating Charged Black Hole
ถูกกำหนดโดย Kerr-Newman Solution
Cosmological Constant
ดูที่ Cosmological Constant
No comments:
Post a Comment